เรื่องที่ผู้เขียนเขียนมานี้เกิดขึ้นกับหลานของผู้เขียนที่ชื่อ ไชยา มันเป็นเวรกรรมที่ตามทันตาเห็นจริงๆ ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้าเลย เรื่องก็มีอยู่ว่า
พ่อของไชยานั้น เขาเป็นคนที่ร่ำรวยในหมู่บ้าน มีที่สวนไร่นามากมาย แต่ออกจะตระหนี่ขี้เหนียวซักหน่อย แต่ก็เพราะความตระหนี่ของเขานี่แหละ ถึงทำให้เขามีความร่ำรวย เขามีลูก 4 คนด้วยกัน เป็นผู้ชายหนึ่งคนก็คือ ไชยา และอีกสามคนเป็นผู้หญิง สำหรับเมียเขาออกจะเป็นคนเห็นแก่ตัวเอามากๆ
ต่อมาไชยา ได้ไปรักกับหญิงสาวคนบ้านใกล้กัน พ่อก็จัดการแต่งงานให้ ได้อยู่กินกันจนมีลูกด้วยกันหนึ่งคน ด้วยความที่รักลูกชายมาก จึงไม่อยากให้ลูกต้องไปทำงานอยู่ที่อื่น เลยหาซื้อรถยนต์ให้ลูกชายหนึ่งคัน เพื่อให้วิ่งโดยสารรับส่งผู้คนแถวบ้าน เพราะจะได้อยู่ใกล้บ้าน และใกล้พ่อแม่
วันหนึ่งผู้เขียนได้ไปว่าจ้างให้ไชยาเอารถไปบรรทุกวัวไปส่งบนดอย เพราะจะเอาวัวไปฝากคนที่อยู่บนดอยเลี้ยง พอตอนเช้าของวันนัด ผู้เขียนและไชยาก็ช่วยกันเอาวัวขึ้นรถบรรทุกไปส่งบนดอย ตอนเอาไปเราเอารถไปคนละคัน ไชยากับเพื่อนที่ชื่อ สนั่น ไปรถคันที่บรรทุกวัว ส่วนผู้เขียนเอารถไปอีกคัน ขากลับผู้เขียนได้กลับมาก่อน ส่วนไชยานั้นหลังจากลงมาจากบนดอยก็เลยไปหาเพื่อนที่ อำเภอท่าวังผา เป็นเพื่อน ๆ ที่วิ่งรถสองแถวด้วยกัน ก็เลยพากันดื่มเหล้าที่บ้านเพื่อน ส่วนสนั่นนั้นได้แยกทางกันกับไชยาตั้งแต่ลงมาจากดอย ไชยานั่งดื่มตั้งแต่ 2 ทุ่ม จนถึงเที่ยงคืนก็เมาได้ที่ จึงขอตัวกลับบ้าน พวกเพื่อนก็ขอร้องให้นอนค้างคืนที่บ้านเขา แต่ไชยาไม่นอน เพื่อน ๆ ก็เลยให้กลับเพราะเห็นว่ายังพอกลับได้
ไชยาขับรถออกจากบ้านเพื่อนมาได้ประมาณ 25 นาที พ้นเขตอำเภอท่าวังผาก็เข้า เขตอำเภอบัว (ซึ่งเป็นอำเภอที่ผู้เขียนและไชยาอยู่) เข้าเขตอำเภอบัวมาได้ประมาณ 5 กิโลเมตร พอมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้านนาก้อ ซึ่งเป็นทางโค้งนิดหน่อย ได้มีรถมอเตอร์ไซค์กำลังขับอยู่ข้างหน้า ด้วยความเมาไชยาจึงไม่เห็นรถคันดังกล่าวจึงขับรถไปชนเข้าอย่างจัง เป็นเหตุให้ สองผัวเมียที่ขับมาได้รับบาดเจ็บและรถมอเตอร์ไซค์ของเขาหักเป็น 2 ท่อน คนที่บาดเจ็บนั้นนอนสลบอยู่ที่ถนน แต่ แทนที่เขาจะช่วยนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล เขากลับไม่ทำแล้วยังขับรถหนี เอารถไปซ่อนไว้ที่บ้านเพื่อนของผู้เขียน
พอรุ่งเช้า พ่อของเขาก็มาหาผู้เขียน แล้วให้ผู้เขียนไปส่งเพื่อซื้ออะไหล่รถในตัวเมือง จึงได้ถามพ่อของเขาว่า "ไปซื้ออะไหล่มาใส่รถคันไหนอีก"
เขาบอกว่า "เมื่อคืนไชยาได้ขับรถไปชนกับรถมอเตอร์ไซค์ ตอนนี้ให้เอาไปซ่อนไว้ที่บ้านของสิงห์ทอง ที่กลางป่าโน้น " (สิงห์ทองคือเพื่อนของผู้เขียนเอง) ต่อจากนั้นเขาก็หาช่างมาซ่อมรถจนเสร็จ หลังจากนั้นไชยาก็ได้นำรถออกไปขับโดยสารต่อ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นว่ารถของไชยาหายไป ไม่มาวิ่งในวินหลายวัน ตำรวจก็เลยถามว่า "รถหายไป เอาไปไว้ไหน"
ไชยาจึงได้บอกไปว่า "เอารถไปให้น้าเขาใช้ที่ต่างจังหวัด" ตำรวจมาดูที่รถ ก็เห็นมีรอยทำสีใหม่ แต่ตำรวจเขาก็ไม่อยากซักถามเท่าไหร่ เพราะเป็นคนมีเงินและก็มีอิทธิพลนิดหน่อย และเขาก็ได้บอกตำรวจว่า "ไม่ต้องมาสงสัยถ้ารถชนจริงไม่หนีหรอก เรื่องแค่นี้จะยอมใช้ให้หมด"
แต่ญาติๆ ของผู้เสียหายปักใจว่าเป็นรถคันนี้ชนแน่นอน แล้วแม่ของไชยาก็ได้สาบานต่าง ๆ นานา อย่ามาหาว่ารถฉันชน ถ้ารถฉันได้ชนจริง ๆ ก็ขอให้มีอันเป็นไป
เพราะแม่ของไชยาไม่เชื่อเรื่องสาบาน แต่จะเชื่อเพียงว่า ใครมีเงินมาก คนนั้นก็ชนะ ไม่ว่าเรื่องอะไร จากนั้นมาประมาณปีกว่า ไชยามีธุระต้องเข้าไปในเมือง โดยเอารถคันดังกล่าวนั้นขับไป พอขากลับไชยาขับมาคนเดียว โดยไม่มีใครอาศัยมาด้วย เวลานั้นก็ประมาณ 3 ทุ่ม พอไชยาขับรถมาถึงที่เกิดเหตุ รถของไชยาก็เกิดยางระเบิด พลิกคว่ำลงข้างทาง เป็นเหตุให้กระดูกท่อนคอของไชยาหัก ผู้ที่อยู่บ้านใกล้เขาเห็นเหตุการณ์ จึงนำตัวไชยาส่งโรงพยาบาล หมอที่โรงพยาบาลอำเภอบัวส่งต่อมาโรงพยาบาลในตัวเมือง หมดได้ช่วยกันเข้าเฝือกคอของไชยาที่หักไว้ จากนั้นก็จะนำส่งไปที่โรงพยาบาลเชียงใหม่ แต่ไชยาทนพิษบาดเจ็บที่ลำคอไม่ไหว กระดูกที่เข้าเฝือกไว้ได้เคลื่อนที่ จึงได้เสียชีวิตลงกลางทาง ยังความเศร้าโศกให้แก่พ่อแม่ของไชยาเป็นอย่างมาก
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ผู้เขียนนำมาเล่าให้ฟัง ผลกรรมมันตามทันตาเห็นจริงๆ ใครที่ก่อกรรมใดไว้ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นจริงๆ ผู้เขียนก็ไม่ได้มีความอาฆาตพยาบาทใครๆ ที่เล่าให้ฟังเพราะ กฎแห่งกรรมมีจริง เพราะความตระหนี่นี่เอง กลัวว่าจะเสียเงินให้เขา จึงทำให้ลืมคำว่าคุณธรรม ลืมคำว่าเวรกรรม ลืมคุณค่าของความมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยเฉพาะผู้เป็นแม่ของไชยา เพราะความเห็นแก่ตัวห่วงแต่ลูกตนว่าจะมีความผิด ลงทุนแม้กระทั่งสาบาน โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา จึงต้องมาเสียใจกับผลกรรมนั้นในที่สุด
สำหรับผู้เขียนเองก็อยากจะเห็นมนุษย์เรากระทำแต่ความดีมีศีลธรรมอยู่ในใจบ้าง มีความเอื้อเฟื้อต่อกัน อย่างน้อยสิ่งที่เราทำลงไปเราก็ควรจะรับผิดชอบบ้าง เพื่อจิตใจเราจะได้สบาย ไม่สร้างกรรมสร้างเวรต่อกัน จะได้เป็นสุขกันพร้อมหน้า
ที่มา : dhammajak